วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคไต อาการโรคไต คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไต และปู่จิงตัน (PUJINGTUN)

โรคไตรู้ได้อย่างไรว่าเป็น

 แพทย์จะวินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยมีอาการแสดงที่บ่งบอกถึงการเป็นโรคไต และจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไต ซึ่งเป็นคำถามที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ซึ่งตามหลักวิชาแพทย์จะอาศัยกรรมวิธี 3 ประการคือ
1. การซักประวัติ (Signs) จะได้ทราบถึงลักษณะอาการ
2. การตรวจทางร่างกาย (Symptoms) จะได้ทราบอาการที่แสดง

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab) คือ การตรวจทางห้องแล็ป ได้แก่ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และการเอ็กซ์เรย์ รวมทั้งการตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การตรวจทางชิ้นเนื้อ การเพาะเลี้ยงเชื้อ เป็นต้น

 เราต้องเรียนรู้กายวิภาคและสรีระหน้าที่ก่อนว่า สภาพปกติของอวัยวะนั้นๆ เป็นอย่างไรก่อน แล้วจึงมารู้เรื่องพยาธิสภาพก็คือการรู้ภาวะการเป็นโรค ซึ่งจะทราบถึงอาการ อาการแสดง และการตรวจทางห้องแล็ป พูดง่ายๆ การที่จะรู้ว่าเป็นอาการโรคไตหรือไม่ ก็ต้องรู้สภาพปกติและหน้าที่ของไต รวมทั้งโรคต่างๆ ของไตเสียก่อน  เมื่อไตเป็นโรคก็จะมีอาการ และอาการแสดงตลอดจนความผิดปกติทั้งทางสภาพและหน้าที่ เมื่อประมวลต่างๆ เข้าด้วยกันก็จะรู้ว่าเป็น อาการโรคไต หรือไม่


เหตุบ่งบอกถึงอาการโรคไต 

  1. ปัสสาวะเป็นเลือด  โดยปกติในน้ำปัสสาวะจะไม่มีเลือดหรือเม็ดเลือดสดออกมา อาจมีได้บ้างประมาณ 3-5 ตัว เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศ์ขยายปานกลางการมีเลือดออกในปัสสาวะถือเป็นเรื่อง สำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้ ในสตรีที่มีประจำเดือน ปัสสาวะอาจถูกปนด้วยประจำเดือน กลายเป็นปัสสาวะสีเลือดได้ ถือว่าปกติในโรคของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างเช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะมักจะเป็นเลือดสดๆ หรือเป็นลิ่มๆได้  ในโรคของเนื่อไตหรือตัวไตเอง การมีเลือดในปัสสาวะมักเป็นแบบสีล้างเนื้อสีชาแก่ หรือสีเหลืองเข้ม  ในผู้ป่วยชาย จำเป็นต้องตรวจค้นหาสาเหตุของปัสสาวะเป็นเลือด แม้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็ตาม แต่ในผู้หญิงเนื่องจากมีโอกาสกรพเพาะปัสสาวะอักเสบได้บ่อยอาจตรวจค้นหา สาเหตุได้ช้าหน่อย ในหลายๆกรณีแม้การตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ อาจยังไม่สามารถบอกสาเหตุได้ จำเป็นต้องเจาะเอาเนื่อไตมาตรวจโดยพยาธิแพทย์ จึงจะทราบถึงสาเหตุได้
  2. ปัสสาวะเป็นฟองมาก คนปกติเวลาปัสสาวะอาจจะมีฟองขาวๆ บ้าง แต่ถ้าในปัสสาวะมีไข่ขาว (albumin) หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองได้มาก ขาวๆ เหมือนฟองสบู่จำเป็นต้องตรวจปัสสาวะ และเก็บปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหาปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ ผู้ป่วยที่มีไข่ขาวออกมาในปัสสาวะมาก ส่วนมากเป็นจากโรคหลอดเลือดฝอยของไตอักเสบจากไม่รู้สาเหตุ ทำให้ระดับโปรตีนในเลือดลดลงและเกิดอาการบวม รวมทั้งปริมาณโคเลสเตอรอลและไขมันเลือดสูงได้ดูการตรวจหาระดับโปรตีน (albumin) ในปัสสาวะด้วยตนเองการตรวจพบไข่ขาวออกมาในปัสสาวะในจำนวนไม่มากอาจพบได้ใน โรคหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น  แต่การมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสัญนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต
  3. ปัสสาวะ ขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว (มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น
  4. การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ
  5. การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือดปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ
  6. การมีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็น อาการโรคไต เป็นถุงน้ำการอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
  7. การปวดหลัง ในความหมายของคนทั่วๆไป การปวดหลังอาจไม่ใช่โรคไตเพราะการปวดบริเวณเอวมักเกิดจากโรคกระดูและข้อ หรือกล้ามเนื้อ  ในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบริเวณไตคือบริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย
  8. อาการบวม เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นอาการโรคไต จะมีอาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัวอาจเกิดได้ในอาการโรคไต หลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติคซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
  9. ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับอาการโรคไต ก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renalfailure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไปกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีดหรือโลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลมบ่อยๆ

สาเหตุของการเกิดโรคไต  

  1.  โรคไตที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่น มีไตข้างเดียว หรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น
  2. การอักเสบ (Inflammation) เช่น โรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)
  3. การติดเชื้อ (Infection) มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ เช่น กรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อโรค) เป็นต้น
  4. การอุดตันระบบทางเดินปัสสาวะ (Obstruction) เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น

ผู้ป่วยโรคไตควรปฎิบัติตัวอย่างไร
1. กินอาหารที่มีโปรตีนต่ำ หรืออาหารที่มีโปรตีนต่ำมาก ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นโดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จำนวน 0.6 กรัมของโปรตีน ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน โดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็น หรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริม เพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้น ให้กรดอะมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียง กับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย ประมาณ 50-60 กิโลกรัม ควรกินอาหาร ที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัมต่อวัน อาจจำกัดอาหารโปรตีน เพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ ของไตได้อีกวิธีหนึ่ง โดยให้ผู้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็น ในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ย 50-60 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัมต่อวัน เสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัมต่อวัน

2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ โดย ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอล ในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ด้วยการจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด และนม เป็นต้น
3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง ฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว พบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูง จะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรัง ให้รุนแรงมากขึ้น และมีความรุนแรงของ การมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น นอกเหนือจากผลเสีย ต่อระบบกระดูกดังกล่าว
4. ลดเกลือให้น้อยลง ผู้ป่วย อาการโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวม  โดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการบวมร่วมด้วย ควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง (เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวัน ซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาติจืด งดอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ทำเค็ม หรือหวานเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงหมูแฮม หมูเบคอน ไส้กรอก ปลาริวกิว หมูสวรรค์ หมูหยอง หมูแผ่น ปลาส้ม ปลาเจ่า เต้าเจี้ยว งดอาหารบรรจุกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋องข้างต้น

5. ควบคุมอาหาร ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกิน น้ำหนักจริงที่ควรเป็น (Ideal Weight for Height) ในคนปกติ ควรจำกัดปริมาณแคลอรี ให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้น คือ ประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

เราอยากแนะนำคือ อาหารเสริม บำรุงไต ปู่จิงตัน อาหารเสริมที่จะช่วยให้ท่านมีสุขภาพไตที่ดี เพราะมีสมุนไพรจีนที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณในการบำรุงไต ได้แก่ เก๋ากี๋ เส็กตี้อึ้ง และพุทราจีน

สรรพคุณของปู่จิงตันในการช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง ลดอาการที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอ ช่วยควบคุมและเพิ่มสารจำเป็นในร่างกาย บำรุงสายตา และช่วยไม่ให้ผมหงอกก่อนวัย มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่มีภาวะไตอ่อนแอ ปัสสาวะบ่อยครั้ง ผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นเบาหวาน ช่วยชะลอวัย และให้มีอายุยืนยาวแข็งแรง

วิธีรับประทาน
เดือนแรก ก่อนอาหารเช้า 4 แคปซูล ก่อนอาหารเย็น 4 แคปซูล สำหรับผู้ที่ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน มากกว่า 1 ครั้ง/คืน หรือมีอาการเมื่อยเอว เข่าอ่อน หลั่งเร็ว
    ถ้าอาการไม่มาก ในเดือนต่อไป กินก่อนอาหารเช้า 2 แคปซูล ก่อนอาหารเย็น 2 แคปซูล
    กินเพื่อรักษาสุขภาพ  ก่อนอาหารเช้า 1 เม็ด  ก่อนอาหารเย็น 1 เม็ด

    ผลิตภัณฑ์ ปู่จิงตัน (PUJINGTUN) สามารถแก้ปัญหา โรคไต ไตวาย อย่างได้ผล
ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 900 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://pujingtunsaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น 

โทร.088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์ :   sboonmuen@gmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น