ปัญหาโรคไตในคนไทย
รู้ได้อย่างไรว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเป็นโรคไต คุณสุ่มเสี่ยงข้อไหนบ้างเอ่ย? หรือหากใครไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะไม่ได้หมายความว่าคุณรอดพ้นจากโรคนี้แล้วนะคะ เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะ การรับประทานอาหารรสเค็มจัดที่ทำให้คุณมีสิทธิ์เผชิญหน้ากับโรคนี้ ว่าแล้วก็มาตรวจสอบสัญญาณบ่งชี้โรคไตกันหน่อยดีกว่า ว่าความผิดปกติของตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่1. อาการบวมทั้งตัว
ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยอาจรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตไม่เห็น แต่ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการบวมอาจไม่ได้เป็นโรคไตก็ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และโรคตับ ดังนั้น การตรวจปัสสาวะน่าจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด
2.เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร
3.ปวดหลัง ปวดเอว
ไต เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่างของเรา หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพองก็ได้ แต่อาการปวดหลังก็สามารถวินิจฉัยได้หลายโรคเช่นกัน จึงต้องตรวจสอบอาการอื่นๆ ควบคู่ ๆ ไปด้วย
หากเรากดหลัง และทุบเบา ๆ แล้วมีอาการเจ็บ อาจแสดงว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือไตอักเสบ ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตอักเสบติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน ซึ่งก็มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรค SLE เป็นต้น
4.ปัสสาวะผิดปกติ
ไต อยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับปัสสาวะ หรือไตทำงานผิดปกติ โดยเราสามารถสังเกตปัสสาวะได้ดังนี้
1. ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมีหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการนี้ ทั้งนิ่ว เนื้องอกของทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อุบัติเหตุกับทางเดินปัสสาวะ หรือ เส้นเลือดฝอยของไตอักเสบ แม้แต่มะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไตเป็นถุงน้ำ เป็นต้น
2. ปัสสาวะน้อยลง โดยปกติแล้วหากเราดื่มน้ำมาก ปัสสาวะก็ควรจะมากไปด้วย แต่หากใครปัสสาวะไม่ออกเลย อาจเป็นเพราะทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้น หรือการทำงานของไตเสียไป ลองทดสอบง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วสังเกตดูว่าปัสสาวะออกมากขึ้นหรือไม่ หากปัสสาวะยังน้อยอยู่ นั่นแสดงว่าไตเริ่มผิดปกติแล้ว
3. ปัสสาวะบ่อย ความถี่ในการปัสสาวะของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หรือการที่ร่างกายเสียน้ำไปทางอื่น ๆ เช่น เหงื่อ หรืออุจจาระ แต่หากวันดีคืนดี รู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 3-4 ครั้ง อาจต้องสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไตก็ได้ เพราะกระเพาะปัสสาวะจะสามารถเก็บน้ำได้ถึง 250 ซี.ซี. แต่ในคนที่เป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถหยุดการขับน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีน้ำออกมามากและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ จึงมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางดึก
ปกติแล้วการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืนส่วนใหญ่ไม่เกิดมีสาเหตุมาจากโรคไต เพราะมักจะเป็นอาการของโรคเบาหวาน เบาจืด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือการกินน้ำมากเกินไปมากกว่าแต่ก็ยังอาจเป็นอาการของโรคไตวายในระยะแรก ดังนั้น ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะหากมากกว่าวันละ 3 ลิตร หรือตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา
ส่วนการปัสสาวะตอนกลางวัน หลายคนรู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ซึ่งจริง ๆ อาจไม่ได้ป่วยโรคไต แต่เกิดจากความวิตกกังวลของตัวเองที่ไปกระตุ้นให้อยากปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ มากกว่า
ปัสสาวะเป็นฟองมาก ฟองสีขาว ๆ ที่เราในปัสสาวะก็คือโปรตีนนั่นเอง ซึ่งก็มีกันทุกคน แต่หากใครมีฟองสีขาว ๆ มากผิดปกติ อาจสงสัยไว้ก่อนว่า เส้นเลือดฝอยในไตอาจอักเสบ ทำให้มีโปรตีนรั่วไหลออกมามากผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นโรคไต ต้องดูอาการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น หากปัสสาวะมีฟองมากแถมยังเป็นเลือด ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นโรคไตก็ได้ ให้รีบไปพบแพทย์ตรวจร่างกายโดยเร็ว
6.ความดันโลหิตสูง
เคยได้ยินใช่ไหมว่าการกินอาหารรสเค็ม ๆ มาก ๆ จะทำให้ไตทำงานหนัก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อน แต่พอไปตรวจสุขภาพกลับเจอความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจอนุมานได้ว่า ไตของเรามีความผิดปกติขึ้นแล้ว ควรให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดเพื่อเช็คว่าเป็นโรคไตด้วยหรือไม่
ไตจะเสื่อมตามธรรมชาติ ร้อยละ 1 ต่อปี เมื่อคนเรา อายุ 30 ปี ขึ้นไป การที่ไตเสื่อมอย่างรวดเร็วหรือหยุดการทำงานทันที เรียกว่า โรคไตวายเฉียบพลัน อาจจะกลับเป็นปกติได้ ถ้าได้การรักษาที่เหมาะสม ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง จะทำให้ไตเกิดความผิดปกติอย่างถาวร เรียกว่า โรคไตเรื้อรัง
โรคไต มี 5 ระยะ
ระยะที่ 1 ไตยังคงทำงานได้ปกติ แต่จะสามารถตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะมีตะกอนผิดปกติ หากตรวจพบความผิดปกติของปัสสาวะ ต้องดูแลสุขภาพ ค้นหาสาเหตุและรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคไต อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเอสแอลอี (ภูมิคุ้มกันผิดปกติ) โรคเก๊าท์ นิ่วในไต ไตอักเสบ การติดเชื้อปัสสาวะซ้ำ ๆ และงดสูบบุหรี่
ระยะที่ 2 ไตเริ่มทำงานได้น้อย 3 ใน 4 ส่วน หรือ 60-90%
การดูแลรักษา : ลดปริมาณอาหารที่มีรสเค็ม
ระยะที่ 3 ไตเริ่มทำงานลดลง 1 ใน 2 ส่วน หรือ 30-60%
การดูแลรักษา : ลดอาหารจำพวกโปรตีน
ระยะที่ 4 ไตเริ่มทำงานได้น้อย 1 ใน 4 ส่วน หรือ 15-30%
การดูแลรักษา : จำกัดการบริโภคผลไม้ต่างๆ
ระยะที่ 5 เป็น "ระยะไตวาย" ซึ่งในระยะนี้ไตจะทำงานได้ น้อยกว่า 15%
การดูแลรักษา : เตรียมตัวล้างไต หรือผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายไต
ประสบการณ์จากผู้ใช้ปู่จิงตัน
ท่านอาจารย์ วีระชัย ทองสา ป่วยเป็นโรคไต ขั้นเตรียม "ฟอกไต" อีก 3 วัน (รองเครื่องฟอกไตและห้องว่าง) ได้รับผลิตภัณฑ์ ปู่จิงตัน 1 ขวด รับประทาน 4 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ 2-3 วันก่อนกำหนดไปฟอกไต พอถึงวันฟอกไต ได้ถุกยกเลิกการเข้าฟอกไต เพราะ ดูจากตัวเลขการตรวจและน้ำปัสสาวะที่ออกมา แสดงว่า ไตดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องฟอกแล้ว (ตามความเห็นขอแพทย์)กินปูจินตันแล้ว ไม่ต้องฟอกไต (ยืนยันด้วยตัวเองแล้ว)
ท่านอาจารย์ วีระชัย ทองสา ขอยืนยันว่าการกิน ปู่จิงตัน ทำให้โอกาสการฟอกไต ลดลง กินปู่จิงตัน ไม่ต้องฟอกไต
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ ปู่จิงตัน (PUJINGTUN) สามารถป้องกันและแก้ปัญหา โรคไต ไตวาย ได้ผลจริง
ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 900 บาท
อย. เลขที่ 13-1-02950-1-0036
สั่งสินค้าคลิกที่นี้
ดูข้อมูลที่ http://pujingtunsaibua.blogspot.com
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่
คุณ สายบัว บุญหมื่น
โทร. 088 415 3926
ID Line : bua300908
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น